วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Refresh your life คลายเหนื่อยล้าด้วยอาหาร


คุณเคยรู้สึกแบบนี้บ้างไหม?...ตอน เช้าลุกออกจากเตียงไม่ค่อยไหว...ตอนบ่ายพลังงานลดลงตกต่ำและรู้สึกง่วงเหงา หาวนอน...พอถึงบ้านตอนเย็นก็ล้มฟุบลงบนโซฟาทันที ความรู้สึกเหนื่อย หมดแรง เมื่อยล้าเหมือนพลังงานถูกดูดออกไปหมดเกิดขึ้นได้กับทุกคน

แต่ถ้า ความรู้สึกอ่อนเพลียเช่นนี้เป็นปัญหาเรื้อรัง คุณอาจต้องมาหาสาเหตุ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ได้แก่ การขาดการออกกำลังกาย การอดหลับอดนอน การมีความเครียด การมีโรคภัยไข้เจ็บ การรับประทานยาบางชนิด และการมีนิสัยการรับประทานที่ไม่ดี

ทุกคนทราบดีว่าอาหารให้พลังงานกับร่างกาย แต่มีอาหารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายอ่อนล้าได้เหมือนกัน ดังนี้เราควรเลือกรับประทานอย่างไรเพื่อให้มีแรงทำงานทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำต่อไปนี้



รับประทานอาหารมื้อเช้า
เริ่มต้นวันใหม่ คนส่วนมากมักเร่งรีบออกไปทำงาน ไปโรงเรียน โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความต้องการโภชนาการของร่างกายมากนัก ใครบ้างจะมีเวลารับประทานอาหารเช้า? อาหารเช้าจึงมักเป็นมื้ออาหารที่ถูกลืม

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่าอาหารเช้าเพิ่มสมาธิและความว่องไวไหวพริบ ช่วยป้องกันการรับประทานจุบจิบเกินจำเป็นในช่วงบ่าย และช่วยป้องกันโรคอ้วนได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รับประทานอาหารเช้าที่มีคาร์โบไฮเดรต แป้งที่มีเส้นใยอาหารสูงควบคู่กับอาหารประเภทโปรตีน ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ เต้าหู้ นม ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้นาน

ตัวอย่างอาหารเช้าง่ายๆ เช่น แซนวิชทูน่า ขนมปังหน้าชีส โจ๊กข้าวโอ๊ตใส่ผลไม้แห้ง โยเกิร์ตโรยหน้าด้วยธัญญาหาร ไข่กวนหรือออมเลต ใส่ขนมปังปิต้า ข้าวกล้อง + ไข่พะโล้ + ผัดผัก ข้าวต้มปลา เป็นต้น ควรเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง (และส่วนมากมักมีไขมันสูงมาคู่กันด้วย) เพราะนอกจากมีแคลอรีสูง คุณค่าทางโภชนาการต่ำแล้วยังไม่ทำให้อิ่มท้องได้นาน ภายใน 1-2 ชั่วโมงอาจรู้สึกหิวอีก

เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
อาหารประเภทแป้งได้ถูกกล่าวหาว่าทำให้อ้วน ไม่ดีต่างๆ นานา แต่อาหารประเภทแป้งนี้จะถูกนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่ สุด หรืออีกนัยหนึ่ง คือร่างกายจะเลือกเอาแป้งมาใช้เป็นพลังงานก่อน การรับประทานอาหารแบบโปรตีนสูง แป้งต่ำ อาจทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าในระยะแรกๆ แต่ร่างกายจะเริ่มรู้สึกหมดแรงลงเมื่อรับประทานเช่นนี้ไปนานๆ

วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ร่างกายได้นำพลังงานไปใช้ให้ได้มากที่สุด คือการเลือกรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมากหน่อย และเลือกคาร์โบไฮเดรตประเภทน้ำตาลน้อยหน่อย

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรือ complex carbohydrate ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ธัญพืช เมล็ดถั่ว (ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว เป็นต้น) และผักที่มีแป้งสูง ได้แก่ ผักหัวต่างๆ ผลไม้และน้ำผึ้งมีน้ำตาลฟรุคโตสซึ่งเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว (simple carbohydrate) น้ำตาลในขนมหวาน น้ำหวานเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยวเช่นกัน แต่มีคุณค่าทางอาหารต่ำ อาหารประเภทนี้จะย่อยและให้พลังงานสูงสุดภายในระยะเวลา
สิ่งต้องระวัง เพื่อไม่เป็นการทำร้ายดวงตา


สิ่งที่สาวๆ ต้องระวัง เพื่อไม่เป็นการทำร้ายดวงตาของเราเอง ...

- ครีมบำรุงสำหรับผิวหน้าบางประเภท ไม่เพียงแต่จะไม่มีประสิทธิภาพในการบำรุงดวงตาที่ดีแล้ว ยังอาจจะทำให้ตาเกิดอาการบวมได้อีกด้วย

- ลดการบริโภคอาหารรสเค็ม เพราะจะก่อให้เกิดอาการตาบวมได้

- หลีกเลี่ยงการโดนลมแรงและแสงแดดเจิดจ้า เพราะจะทำให้ตาแห้ง

- เลี่ยงการถูกกระทบกระแทกรอบดวงตา

- ไม่ใช้สายตาจดจ่อกับอะไรสักอย่างแบบต่อเนื่องนานเกินไปเป็นประจำ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์

- เลิกพฤติกรรมการนอนคว่ำเอาหน้าถูหมอน

- ไม่เอามือสกปรกขยี้ตา ถ้ากลัวเผลอก็ต้องพยายามล้างมือด้วยสบู่ขจัดแบคทีเรียทุกครั้งหลังจากไปจับสิ่งของสกปรก

- เลือกใช้เครื่องสำอางสำหรับแต่รอบดวงตาที่มั่นใจได้จริงๆ ว่าปลอดภัย ไม่มั่วนิ่ม เพราะถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา นอกจากจะทำให้ดวงตาอักเสบ แสบ มีน้ำตาไหลไม่หยุดแล้ว อาจจะทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดแพ้ เป็นเม็ด อักเสบ หรือสีผิวเปลี่ยนแปลงได้อีกด้วย

- ไม่ควรสรรหาสารพัดครีมบำรุง หรือสมุนไพรต่างๆ นานามาใช้บำรุงรอบดวงตา เพราะผิวบริเวณรอบดวงตานี้อ่อนบางมากกว่าส่วนอื่นๆ ของใบหน้า จึงเสี่ยงต่อการที่สารต่างๆ จากสิ่งที่นำมาสัมผัสกับตาจะหลุดรอดเข้าสู่ดวงตาให้เป็นอันตรายได้

- เลี่ยงการใช้ยาหยอดตาโดยไม่จำเป็น ถ้าต้องผจญอยู่ท่ามกลางมลพิษ จนดวงตาเกิดความระคายเคืองซึ่งอาจจะเป็นฝุ่นผงก็ควรใช้วิธีล้างตาด้วยน้ำ สะอาดหรือน้ำยาล้างตา โดยกรอกตาไปมาในน้ำ แต่ถ้าดวงติดเชื้อ จนต้องใช้ยาหยอดจริงๆ สิ่งที่ต้องระวัง คือ ....

+ ใช้ยาหยอดตาเฉพาะของตัวเอง อย่างก ไปขอยืมชาวบ้าน มิฉะนั้นคุณอาจติดเชื้อจากคนอื่นได้

+ ยาหยอดตาที่เปิดขวดไปแล้ว จะมีอายุต่อจากนั้นไปไม่เกิน 1 เดือน เพราะถึงแม้จะปิดฝาสนิท เก็บมิดชิดอย่างดี ก็อาจจะเกิดการปนเปื้อนได้อยู่ดีล่ะ

+ ไม่ควรหยอดตาบ่อยๆ โดยไม่จำเป็น เพราะนัยน์ตามีน้ำหล่อเลี้ยงธรรมชาติอยู่ การหยอดตาหรือล้างตาบ่อยๆ จะทำลายภูมิคุ้มกันของน้ำตาให้หมดไป จนอาจจะทำให้ความระคายเคืองทวีความรุนแรงขึ้น

ถ้าปฏิบัติตามได้ครบหมดตามนี้ทุกข้อ รับรองว่าดวงตาคู่งามจะอยู่กับคุณไม่หนีหายไปไหนค่ะ

ข้อสังเกต ว่าคุณต้องการ "วิตามินซี" เสริม หรือยัง?


ถ้า พูดถึง วิตามินซี เราทุกคนคงทราบถึงประโยชน์ในการป้องกันรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน แหล่งของวิตามินซีได้แก่ อาหารจำพวกผักและผลไม้สด

ในแต่ละวันร่างการของเราควรได้รับวิตามินซีอย่าง น้อย 60-100 มก. แต่จากการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ชั้นสูง พบว่าการได้รับวิตามินซีในปริมาณที่สูงถึง 1000 มก. มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้
ลองสังเกตตัวคุณเองดูสิคะว่า... ถึงเวลาหรือยังที่ร่างกายของคุณต้องเสริมวิตามินซี

1. เป็นหวัด ไม่สบายบ่อย ร่างกายอ่อนแอ แม้ว่าวิทยาการทางการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าไปมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่สามารถคิดค้นวิธีป้องกันรักษาโรคหวัดได้ อาวุธเพียงอย่างเดียวที่มนุษย์มีเพื่อใช้รับมือกับเชื้อไวรัส ต้นเหตุของโรคหวัดก็คือ ระบบภูมิต้านทานของเราเอง วิตามินซีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นกลไกหลักของระบบภูมิต้านทาน พร้อมทั้งยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส จึงให้ผลในการป้องกันรักษาโรคหวัดได้เป็นอย่างดี

2. เป็นโรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม รอบ ตัว อาทิ ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ สารเคมีเร็วเกินไป เซลล์เม็ดเลือดขาวจะถูกกระตุ้น และปล่อยสารที่เรียกว่าฮีสตามีน ก่อให้เกิดอาการแพ้ขึ้น วิตามินซีมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ฮีสตามีนธรรมชาติ ทั้งยังช่วยปรับระบบภูมิต้านทานให้คืนสู่สภาวะสมดุล จึงสามารถบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงเหมือนยาต้านภูมิแพ้ทั่วไป

3. มีความเครียด ความเครียดจากการทำงาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ล้วนส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็น ไมเกรน นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย เบื่อหน่าย แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ไซนัสอักเสบ ตลอดจนบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานให้ลดน้อยลง จากการศึกษาพบว่าผู้ที่อยู่ในภาวะตึงเครียด ร่างการจะต้องการวิตามินซีในปริมาณที่สูงกว่าปกติ

4. สัมผัส หรืออยู่ท่ามกลางมลภาวะ มลภาวะรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น เขม่าควันจากท่อไอเสีย ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ล้วนเป็นแหล่งที่มาของอนุมูลอิสระ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดความผิดปกติในการทำงานและความเสื่อม ของอวัยวะส่วนต่าง ๆ เช่น แก่ก่อนวัย ไขข้ออักเสบ ต้อกระจก มะเร็ง วิตามินซี จัดเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยจะปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ พร้อมทั้งสนับสนุนการทำงานของเอนไซม์บางตัวที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ



5. ผิวพรรณร่วงโรย เกิดริ้วรอยก่อนวัย พื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นอยู่กับ ลักษณะของคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยโปรตีนที่ทำหน้าที่ยึดเซลล์ผิวหนังไว้ด้วยกัน รวมถึงรักษาสมดุลแรงยืดหดกล้ามเนื้อ หากคอลลาเจนแข็งแรง ผิวพรรณก็จะมีความยืดหยุ่น กระชับ ด้วยเหตุนี้ปัญหาผิวพรรณที่เกี่ยวกับความหยาบกระด้าง ริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย จึงมักมีสาเหตุจากการเสื่อมประสิทธิภาพของคอลลาเจน วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน ดังนั้นการได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอจึงเท่ากับเป็นการบำรุง ผิวพรรณให้นุ่มนวล เปล่งปลั่งสดใส แลดูอ่อนเยาว์ ทั้งยังช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ป้องกันการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยหมองคล้ำ

6. สูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำ การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอนุมูลอิสระจำนวนมากในร่างกาย ร่างกายจึงมีความจำเป็นต้องดึงเอาวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระมาใช้งาน ในขณะที่การดื่มสุรา แอลกอฮอล์จะเข้าไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมวิตามินซีของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับ วิตามินซีไม่เพียงพอ

7. เข้าสู่วัยสูงอายุ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะค่อย ๆ สูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบย่อยและดูดซึมอาหาร ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จึงมักจะต้องเผชิญกับภาวะขาดสารอาหาร การได้รับวิตามินซีเสริมจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งยังช่วยลดโคเลสเตอรอล อันเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาระบบไหลเวียนโลหิต โรคหลอดเลือดอุดตัน และโรคหัวใจ

8. ผู้ชายที่มีบุตรยาก จากการศึกษาผู้ที่มีภาวะเชื้อสเปิร์มบกพร่อง พบว่ามีภาวะขาดแคลนวิตามินซี นอกจากนี้รายงานผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าหากระดับวิตามินซีในเชื้ออสุจิ ลดน้อยลง จะก่อให้เกิดความผิดปกติใน DNA อันเป็นสาเหตุของความพิการแต่กำเนิดของทารก รวมถึงโรคทางพันธุกรรม

9. รับประทานยาคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดมีฤทธิ์ขับไล่วิตามินซีออกจากร่างกาย ส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานต่ำ การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง ก่อให้เกิดภาวะโลหิตจาง ดังนั้นสตรีที่อยู่ในช่วงรับประทานยาคุมกำเนิดจึงควรได้รับวิตามินซีเสริม

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เช็คโรคจากอาการปวดท้อง

เช็คโรคจากอาการปวดท้อง
ใครที่มักจะปวดท้องบ่อย ๆ แต่ไม่รู้ว่าปวดท้องเพราะอะไร เรามีวิธีการเช็คโรคจากอาการปวดท้องมาบอก...

ปวดท้อง
- ปวดท้องด้านขวาตอนบน ความเจ็บปวดในบริเวณด้านขวาตอนบนของช่องท้อง มักเกิด จากโรคตับและถุงน้ำดี

- ปวดท้องบริเวณแอ่งกระเพาะอาหาร แอ่งกระเพาะอาหาร คือ บริเวณที่อยู่ใต้ซี่โครงลงมา การเจ็บปวดบริเวณนี้มักเกิดจากการแสบกระเพาะอาหารและอาการไม่ย่อย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอาจเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้เช่นเดียวกัน บางครั้งโรคต่างๆที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นในบริเวณส่วนท้องที่ เป็นแอ่งได้

- ปวดท้องส่วนกลาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุมาจากโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้อาการปวดท้องที่บริเวณนี้อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งมักเริ่มขึ้นที่บริเวณนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงเลื่อนมาเป็นส่วนล่าง

- ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร นั่นหมายถึงอาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ

- ปวดท้องด้านขวาตอนล่าง อาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน อาการอักเสบของลำไส้

- ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง อาการปวดที่เป็นลักษณะปวดและคลายสลับกันพร้อมกับ อาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงตันที่ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis)


ครั้งหน้าปวดท้อง อย่าลืมตรวจดูว่าอาการปวดท้องนั้นเกิดจากอะไร จะได้รักษาได้ถูกอาการ.

รักษาตัวให้ห่างไกล ไข้หวัดเม็กซิโก

รักษาตัวให้ห่างไกล ไข้หวัดเม็กซิโก

ไข้หวัดเม็กซิโก, สุขภาพ, ไข้หวัดหมู



ช่วง สัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะกล่าวได้ว่าเป็นสัปดาห์ ของ "ไข้หวัดหมู" ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "ไข้หวัดเม็กซิโก" เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด เนื่องจากไข้หวัดใหญ่ดังกล่าวเป็นการติดจากคนสู่คนไม่ใช่จากหมูสู่คน

แต่ ที่เรียกชื่อไข้หวัดหมูในระยะแรก เพราะเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ เอชหนึ่ง เอ็นหนึ่ง (H1N1) นี้ มีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ในหมูผสมอยู่ด้วย

เชื้อ ไข้หวัดเม็กซิโกแพร่ติดต่อเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนโดยทั่วไป ผ่านการไอ จาม และน้ำลาย โดยเชื้อที่อยู่ในเสมหะน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย จะแพร่ ไปยังผู้อื่นในระยะใกล้ชิด หรือติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา ไม่ติดต่อจากการกินเนื้อหมู

ในส่วนของผู้ที่มีอาการป่วย ลองสังเกตดูว่ามีอาการ คล้ายไข้หวัดใหญ่ หรือไม่ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก ควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อ และหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด ควรทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน เช่น ลูกบิดประตู ตู้โต๊ะเตียงต่างๆ ให้สะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดธรรมดา

คนทั่วไปที่ยังไม่มีอาการป่วยไข้ ควร รักษาสุขภาพให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผัก ผลไม้ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า ล้างมือบ่อยๆ

ผู้ที่มีแผนการเดินทางไปยังรัฐแคลิฟอร์เนีย และเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเม็กซิโก ควรติดตามสถานการณ์และคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

สำทับ กันอีกครั้งหนึ่งว่า ถึงแม้โรคไข้หวัดเม็กซิโกนี้ จะไม่ได้ติดต่อผ่านการกินหมู แต่ก็ควรจะต้องบริโภคหมูที่สุกแล้วจะเป็นการปลอดภัยกว่า อย่าลืมว่าการปรุงหมู ให้สุกด้วยอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไปก็จะฆ่าเชื้อไวรัสลงได้แล้ว

หากมีข้อ สงสัย ติดต่อได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค โทรศัพท์ 0-2590-3333 และติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข http://www.moph.%20go.th/

อาหารเพื่อวันนั้นของเดือน

อาหารเพื่อวันนั้นของเดือน
PMS (Premenstrual Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นก่อนการมีประจำเดือน อย่างเช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน เป็นตะคริว อ่อนเพลีย หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย เป็นต้น

เมื่อใกล้ถึงวันนั้นของเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีอาการดังกล่าวมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ป้องกันหรืออย่างน้อยที่ก็บรรเทาได้หาก "เลือก" หรือ "เลี่ยง" การรับประทานอาหารบางประเภทในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน


วันนั้นของเดือน, ปวดท้อง



เลือก

แมงกานีส นักวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าแมงกานีสช่วยให้การมีประจำเดือนดำเนินไปอย่าง ปกติ ช่วงที่มีประจำเดือนจึงควรรับประทานอาหารที่มีแมงกานีสได้แก่ ธัญพืช ถั่ว ผัก และผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสับปะรด ชาแม้จะเป็นอาหารที่มีแมงกานีสเช่นกัน แต่ก็มีกาเฟอีนซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวได้

แคลเซียม ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากที่เคยรับประทาน อยู่เป็นประจำ เช่น ตับ ปลาตัวเล็กตัวน้อย กะปิ กุ้ง ผักใบเขียวเช่นคะน้า เพราะผลวิจัยพบว่า แคลเซียมช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการมีประจำเดือน เช่น ปวดท้อง ปวดหลัง หงุดหงิด วิตกกังวล ซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

คาร์โบไฮเดรต เวลาปกติผู้หญิงอาจไม่สนใจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากนัก แต่ช่วงมีประจำเดือน คาร์โบไฮเดรตคืออาหารที่ช่วยลดผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอารมณ์ลงอย่าง ได้ผล ผลการวิจัยจากศูนย์ศึกษาวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงดังกล่าวช่วยลดอาการหงุดหงิด เครียด อารมณ์สีย รวมถึงอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เพราะคาร์โบไฮเดรตช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเซอโรโทนินซึ่งทำให้อารมณ์ดี มีจิตใจแจ่มใสขึ้น ถ้ากลัวว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงเวลามีประจำเดือนจะทำให้น้ำหนัก ตัวเพิ่มขึ้นก็ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮดรตที่มีคุณภาพ เช่น ธัญพืชหรือข้าวกล้อง เป็นต้น



หลีกเลี่ยง

กาเฟอีน ผลการวิจัยพบว่าผู้หญิงจีนที่ดื่มกาแฟวันละหนึ่งถ้วยครึ่งถึงสี่ถ้วย มีอาการต่างๆ ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ก่อนการมีประจำเดือนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเครื่อง ดื่มเหล่านี้ถึง 2 เท่า จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในช่วงเวลาดังกล่าวโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งคนที่ร่างกายอ่อนไหวต่อการบริโภคกาเฟอีนอยู่แล้ว

ไฝ 2

ไฝที่หลังมือขวา

เป็นบุคคลที่ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ชอบประกอบการงานแทบทุกอย่าง จึงประสบกับความสำเร็จในการสร้างฐานะตนเองได้ลาภยศทุกประการ

ไฝที่ข้อมือขวา

จะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง เป็นคนที่ทำงานชนิดมือไม่หยุดนิ่ง

ไฝที่ขาอ่อน

จะ เป็นด้านหน้าหรือด้านหลังก็ตาม ท่านว่า บุคคลนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนอารมณ์ดี ปรับตนเข้ากับบุคคลได้ทุกประเภท ชอบในการท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ