วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก โรคระบาด วิกฤตคนกับเชื้อโรค

ไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก โรคระบาด วิกฤตคนกับเชื้อโรค
การแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู (Swine influenza) เป็น ความสำเร็จก้าวสำคัญของสงครามระหว่างมนุษย์กับเชื้อโรค และเป็นการยืนยันความจริงที่ว่าโรคอุบัติใหม่-อุบัติซ้ำที่สำคัญและมีโอกาส คร่าชีวิตมนุษย์ ติดต่อได้กว้างขวาง เป็นโรคที่มาจากสัตว์สู่คนเกือบทั้งสิ้น แม้จะผ่านตัวกลาง เช่น ยุง ริ้น เห็บ หรือไม่ก็ตาม


ไข้หวัดหมู ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก
ไข้หวัดหมู ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก



พัฒนาการของเชื้อโรคที่จะเข้าสู่คน แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ

1.เชื้อโรคอยู่ในสัตว์และไม่เคยติดต่อมายังคน เช่น เชื้อมาลาเรียในลิง (Relchenowl malaria)

2.มีการติดต่อจากสัตว์สู่คน แต่หยุดเพียงคนคนนั้น โดยไม่มีการแพร่จากคนสู่คน เช่น โรคพิษสุนัขบ้าจากสุนัข

3. เริ่มมีการข้ามสายพันธุ์ โดยไวรัสจากสัตว์ชนิดหนึ่งถ่ายทอดไปยังสัตว์อีกชนิดและแพร่ไปยังคน เช่น โรคอีโบล่า (Ebola) ที่มีแหล่งรังโรคในค้างคาวแพร่ไปยังลิง และส่งต่อถึงคน โดยมีการติดต่อจากคนสู่คน แต่อยู่ในวงจำกัด เนื่องจากโรคมีความรุนแรงมากในคนและผู้ติดเชื้อเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วจน ไม่สามารถส่งต่อไปคนอื่นๆ อีก

4.เชื้ออยู่ในสัตว์ได้หลายชนิด ขึ้นกับสภาวะภูมิอากาศ ความแห้งแล้ง หรืออุดมสมบูรณ์ เช่น ไวรัสในตระกูลไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบ โดยอาจแฝงในลิงหรือสัตว์ขุดรูต่างๆ และมียุงเป็นพาหะกัดคน และเมื่อคนมีจำนวนไวรัสหรือเชื้อโรคมากขึ้น ก็จะถูกยุงกัด และนำเชื้อไปให้คนอื่นอีก ซึ่งเห็นได้ชัดในโรคไข้เลือดออก และเป็นสาเหตุให้ต้องพยามกำจัดยุงในบริเวณบ้านคนที่เป็นไข้เลือดออก

5. มีวิวัฒนาการในสัตว์จนสุกงอม และติดต่อไปยังคน และติดเชื้อในคนได้อย่างสมบูรณ์กระทั่งมีการติดต่อระหว่างคนสู่คนได้สำเร็จ ไม่ต้องอาศัยสัตว์อีกต่อไป เช่น โรคเอดส์จากเชื้อ HIV ที่มีต้นกำเนิดมาจากลิง


สำหรับไข้หวัดหมู พัฒนาการอาจอยู่ในระดับที่ 5 ซึ่งต่อจากนี้จะมีการแพร่ระหว่างคนสู่คน แต่จะมีประสิทธิภาพเพียงใดขึ้นกับการปรับตัวของไข้หวัดหมูในมนุษย์ โดยโรคนี้พบตั้งแต่ ค.ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก แต่ผู้เสียชีวิตส่วนมากจะอายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งต่างจากไข้หวัดใหญ่ทั่วไป (Seasonal Flu) ที่เล่นงานเด็กเล็กและคนแก่เป็นส่วนมาก แต่คล้ายคลึงกับไข้หวัดหมูที่เราเผชิญอยู่ขณะนี้ ในช่วงนั้นมีการพบไข้หวัดในหมูเช่นกัน (J.S. Koen) และจวบจน ค.ศ.1930 จึงได้มีการแยกเชื้อได้ (Shope และ Davis) ไข้หวัดหมูยังเป็นหมูแท้ๆ อยู่อีก 80 ปี โดยไม่มีลูกผสมเป็น 3 เกลอ (พันธุกรรมหมู นก คน) ดังเช่นปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นก็ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่เนืองๆ มากกว่า 50 ราย เช่น ในสหรัฐ 19 ราย เชโกสโลวะเกีย 6 ราย เนเธอร์แลนด์ 4 ราย รัสเซีย 3 ราย แคนาดาและฮ่องกงอีกแห่งละ 1 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมูและมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมู (ล้วน) มีการพัฒนาโดยเกิดโรคในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ (New Jersy) มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน


การติดต่อในค่ายทหาร ทำให้มีการฉีดวัคซีนไข้หวัดหมูให้ประชาชนทั่วไป แต่ พบว่าช่วงที่มีการฉีดวัคซีนมีผู้ป่วยเส้นประสาทอักเสบแขน ขาอัมพาต ทำให้ต้องล้มเลิกการใช้วัคซีน และข้อมูลสรุปของการเกิดอัมพาตอาจยังคลุมเคลือจนปัจจุบัน ใน ค.ศ.1988 มีผู้หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิต โดยมีประวัติสัมผัสหมูในรัฐวิสคอนซิน (Wisconsin) และเริ่มสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จวบจน ค.ศ.1998 จึงได้มีการพิสูจน์พบว่า หมูเลี้ยงในสหรัฐ มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดา


ไข้หวัดหมูผสมสายพันธุ์ใหม่ พบได้ในประเทศสเปน (H1N1) เดือนพฤศจิกายน 2008 เป็น หญิงอายุ 50 ปี มีการไข้ ไอ เหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คันคอ และคันตา และหนาวสั่น ผู้ป่วยหายเองโดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ โดยที่ผู้ป่วยทำงานในฟาร์มหมูและสัมผัสใกล้ชิดหมู ไม่มีคนใกล้ชิดในละแวกมีการติดเชื้อ ข้อสรุป ณ ขณะนั้น ยังไม่คิดว่าไข้หวัดหมูแม้เป็นสายพันธุ์ผสมแล้วจะมีอันตรายมากนัก (Eurosurveillance ฉบับ 19 กุมภาพันธ์ 2009) อย่างไรก็ดี เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดมาก่อนในรัฐวิสคอนซิน วันที่ 7 ธันวาคม 2005 ชายอายุ 17 ปี มีอาการไข้หวัดใหญ่ แต่หายเองใน 3-4 วัน มีการติดเชื้อไข้หวัดหมูลูกผสม H1N1 โดยผู้ป่วยไม่ได้มีการสัมผัสกับหมูหรือไก่ที่บริเวณบ้าน และในระหว่างช่วงเดียวกันมีรายงานการติดเชื้อลูกผสมในแคนาดาใน ค.ศ.2005 และ 2007


เห็นได้ว่าไวรัสไข้หวัดหมูมีการพัฒนาตัวเองมาตลอด แต่สิ่งที่ยากคือ หมูที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องแสดงอาการเจ็บป่วยก็ถ่ายทอดเชื้อได้ สำหรับ หมูในประเทศไทย ขณะนี้แม้จะมีเชื้อลูกผสมวนเวียนและไม่เป็นอันตรายอยู่ก็ตาม แต่ยังคงต้องเกาะติดสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง

ตำรับดูแลผิวให้ใสกิ๊ก หนีแดด-ทานผักเยอะๆ

ตำรับดูแลผิวให้ใสกิ๊ก หนีแดด-ทานผักเยอะๆ

สุขภาพดี, ผิวดี



รศ. นพ.ปิติ พลังวชิรา ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ประการแรกควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะในแสงแดดประกอบด้วยแสงอัลตราไวโอเลตชนิดเอ ซึ่งมีความยาวคลื่น 320 -400 นาโนเมตร และแสงอัลตราไวโอเลตชนิดบี ที่มีความยาวคลื่น 290 - 320 นาโนเมตร

ทั้งนี้ รังสีอัลตราไวโอเลตชนิดบีจะยับยั้งการสร้างสารพันธุกรรมที่เรียกว่า "ดีเอ็นเอ" โดยจะไปขัดขวางการแบ่งตัวของเซลล์และเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง รวมทั้งส่งเสริมให้รังสีไวโอเลตชนิดเอก่อให้เกิดผลกระทบกับผิวหนัง ด้วยการทำให้เกิดผื่นแดงไหม้จากแสงอาทิตย์ รวมทั้งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย

ดังนั้น ใครที่ยังไม่อยากเกิดริ้วรอยก่อนวัยจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและปกป้องผิวโดย การสวมเสื้อแขนยาว กระโปรง กางเกงขายาว และสวมหมวกปีกกว้างหรือกางร่มร่วมกับการทาครีมกันแดดที่มี SPF อย่างต่ำ 15

เลือกใช้เครื่องสำอางให้เหมาะ ทานผักผิวดีกว่าทานเนื้อ

สำหรับการเลือกใช้เครื่องสำอางควรเลือกชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง รู้จักทำความสะอาดผิวหนังเพื่อให้ผิวพรรณดูหมดจด

ส่วน คนที่มีเครื่องสำอางบนใบหน้า อาจต้องใช้ครีมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพื่อช่วยในการชำระล้างขจัด สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบเหงื่อไคลออกจากรูขุมขนบนใบหน้า ถ้าผิวหน้าแห้ง ต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อให้ผิวหน้าเกิดความชุ่มชื้นพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ เพื่อร่างกายจะได้มีเวลาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

"การนอนหลับพักผ่อนเต็มที่จะช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใสไม่หงุดหงิด พยายามควรคุมอารมณ์อย่าให้เครียด เพราะว่าความเครียดจะทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายแปรปรวนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ ระบบเผาผลาญอาหารหรือระบบขับถ่าย ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณไม่สดใสและเกิดริ้วรอยได้"

"ขณะเดียวกันก็ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะ จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระชับ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายและผิวหนังดีขึ้น ทำให้ผิวพรณสดใส มีน้ำมีนวล ที่สำคัญคือการออกกำลังกายจะทำให้มีการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งทำให้คนที่ออกกำลังกายมีความสุขคลายความเครียดได้"

แต่จุดที่ไม่ควรลืมก็คือ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และครบหมู่ ตั้งแต่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ รวมทั้งอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว / วัน ควรรับประทานผักผลไม้มากๆ คนที่รับประทานผักและผลไม้จะมีผิวพรรณสดใสดูอ่อนกว่าวัยกว่าพวกที่ชอบรับ ประทานเนื้อสัตว์

นอกจากนี้ ยังมีผลวิจัยพบว่าคนที่รับประทานผักและผลไม้จะมีจิตใจอ่อนโยนมากกว่าคนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์


ออกกำลังกายบนใบหน้า

รศ. น.พ.ปิติบอกด้วยว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มีการเสริมแต่งผิวพรรณให้สดใส โดยเฉพาะผิวพรรณบริเวณใบหน้า มีการใช้ครีมรองพื้นซึ่งมีส่วนผสมของครีมกันแดดเพื่อให้ผิวหน้านวล ทาลิปสติก ทาบรัชออน เขียนคิ้ว เพื่อให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา

อย่างไร ก็ตาม จะต้องไม่ลืมออกกำลังกายบริเวณกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า โดยใช้วิธีการผ่อนคลาย ปล่อยวางอารมณ์แล้วอ้าปากให้ขากรรไกรตกลงมาให้มากที่สุด พยายามทำบ่อยๆ เมื่อมีโอกาส วิธีการนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระชับ

ขณะ เดียวกันควรงดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวแก่เร็ว โดยสาเหตุเกิดจากหลอดเลือดไปเลี้ยงผิวหนังหดตัว ทำให้ผิวหนังรับสารอาหารและออกซิเจนน้อยลง

ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่ม ชื้นและเกิดรอยเหี่ยวย่น รวมทั้งยังไปทำลายวิตามินต่างๆ เช่นวิามินซี และวิตามินบีรวม แถมส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง ปอดอักเสบเรื้อรัง มะเร็งปอดได้อีกด้วย


การใช้ยาลบริ้วรอย

รศ. น.พ.ปิติให้คำแนะนำทิ้งท้ายว่า ผู้หญิงบางคนใช้ยาช่วยลบริ้วรอย อย่างกรดวิตามินเอ กรดเอเอชเอ (AHA) โคเอนไซม์คิวเทน ก็ควรจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังก่อน แต่สำหรับการรับประทานโสม หรือยาอายุวัฒนาที่มีการโฆษณาอย่างแพร่หลายว่าเป็นสารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ที่บอกสรรพคุณว่าสามารถช่วยซ่อมแซมผิวพรรณให้แข็งแรง ยืดหยุ่น ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นนุ่มเนียนขึ้นและช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นนั้น ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการใดๆ ช่วยสนับสนุนสรรพคุณที่กล่าวอ้าง

ทั้ง นี้ เพราะไม่มียามหัศจรรย์ใดๆ ในโลกนี้ที่จะต่อต้านความแก่ได้ นอกเสียจากการดูแลสุขภาพกายใจของให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลและปฏิบัติตามคำแนะ นำข้างต้นที่จะทำให้ไม่เสียทั้งเงินและเสียความรู้สึกอย่างแน่นอน

อย่ามัวแต่จับหน้าอก...

อย่ามัวแต่จับหน้าอก...
นอกจากการคลำหน้าอกหามะเร็งเต้านมแล้ว ยังมีอีกหลายจุดในร่างกาย ที่เราสามารถตรวจโรคต่างๆ นานาด้วยตัวเอง

สุขภาพ
ลิ้น ให้แลบลิ้นมาจนสุด ถ้ามีจุดสีขาว สีเหลือง หรือสีส้ม กระจายอยู่ทั่วลิ้น นั่นแปลว่าคุณอาจมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปแล้ว และอาจกำลังจะเป็นกรดไหลย้อน ทีนี้มื้อต่อๆ ไปก็แค่กินรสเผ็ดให้น้อยลงหน่อย หรือไม่ก็ลองกินยาลดกรดแต่ปรึกษาหมดก่อนก็ดีนะ

รักแร้ เมื่อไหร่ที่ผิวน้องจั๊กกะแร้เริ่มสากและดำขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ เป็นไปได้ว่าคุณมีฮอร์โมนอินซูลินในเลือดมากเกินไป และนั่นคืออาการของโรคเบาหวาน ให้รีบไปตรวจเลือดดู จะได้รู้ว่าตกลงเราเป็นเบาหวานหรือใช้โรลออนมากไป

หนังศีรษะ ถ้าคุณไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมเลย แต่ก็ยังเจอผมร่วงเยอะ จนผมเริ่มบางผิดปกตินั่นอาจเป็นผลของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ รีบไปปรึกษาหมอ เพื่อวัดระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์ ถ้ามีอะไรผิดปกติจะได้รีบรักษา

ขนหน้าท้อง ถ้าจู่ๆ ขนอ่อนๆ ที่ท้องน้อยที่เคยบางๆ พอเซ็กซี่ กลับเส้นหนา หรือ ดกขึ้น นี่คือสัญญาณหนึ่งของโรค Polycystic Ovarian Syndrome (PCOS) หรือ การมีถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายสูงขึ้นขนเลยดกและหนาขึ้นนั้นเอง รีบไปหาหมอสูตินารีแพทย์ของคุณ

ตา ไม่ได้อดนอนแต่ใต้ตาดำปิ๊ดเป็นหมีแพนด้า คุณอาจจะกำลังเป็นภูมิแพ้อยู่ก็ได้ เพราะเวลาร่างกายเราเปิดรับสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ จะเกิดปฏิกิริยาปล่อฮิสตามีน และที่อาการปรากฏให้เห็นได้ชัดก็คือ เกิดเป็นรอยคล้ำๆ ในบริเวณที่ผิวบางที่สุด ก็คือผิวใต้ดวงตานั้นเอง

5 วิธีไดเอ็ต ที่แย่ที่สุด

5 วิธีไดเอ็ต ที่แย่ที่สุด
ลดน้ำหนัก1. ไดเอ็ตด้วยการกินอาหารแค่บางประเภท

เช่น ซุปกระหล่ำปลี หรือ องุ่น แต่จะกินสักกี่ถ้วยถึงจะพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะ คนเราต้องการสารอาหารหลากหลายประเภทถ้ากินอาหารประเภทนี้ซ้ำๆ อาจจะช่วยลดน้ำหนักได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่คุณก็จะกลายเป็นโรคขาดสารอาหารไปในทันที


2. ไดเอ็ตดีท็อกซ์

เชื่อกันว่าเป็นการล้างสารพิษออกจากร่างกาย จริงแล้วเปล่าเลย มันกลับเป็นวิธีที่ดูโง่ที่สุดและไม่มีผลทางวิทยาศาสตร์ที่วิเคราะห์แล้วว่า ดี จริงๆ แล้วอวัยวะในร่างกายของเราดีอยู่แล้วมีระบบฟอกกรองของเสียของร่างกาย เช่น ตับและปอด โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีดีท็อกซ์ในการล้างสารพิษ ฉะนัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการทำงานของร่างกายดีกว่า


3 .ไดเอ็ตด้วยอาหารหรือยามหัศจรรย์

ลืมไปได้เลยว่าจะมีอาหารหรือยาชนิดไหนสามารถช่วยลดความอ้วนของคุณได้ในระยะ เวลายาว โดยที่กินแล้วไม่มีผลกระทบข้างเคียง คุณอาจจะกินวิตามินเสริมไปกับการลดน้ำหนักได้ แต่แนะนำว่ารับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะดีกว่า


4. ไดเอ็ตที่ต้องอด

กลายเป็นค่านิยมสำหรับสำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักไปแล้ว แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์เลย เพราะถ้าคุณกินอาหารไม่เพียงพอก็จะกลายเป็นโรคขาดสารอาหาร ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายและเมื่อคุณเลิกอดอาหาร กลับมาทานปกติระบบเผาผลาญก็จะแปรปรวนจนเกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์และกลับมาอ้วนอีก


5. ไดเอ็ตที่ฟังดูดีเกินกว่าจะเป็นจริง

ถ้ามันฟังดูดีจนเกินไปจนไม่น่าทำได้จริง มันก็คงเป็นเช่นนั้น แผนการไดเอ็ตที่อ้างถึง "ความลับ" บางอย่างที่ตรงข้ามกับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือมันก็อาจเป็น ความลับที่เป็นไปไม่ได้ก็ได้

4 ท่า ขจัดอาการปวดขาจากส้นสูง

4 ท่า ขจัดอาการปวดขาจากส้นสูง



ส้นสูง, รองเท้าส้นสูง




A นั่งพับขา แยกปลายเท้าออกให้ก้นติดพื้น มือจับฝ่าเท้าทั้งสองข้าง หันหัวแม่มือไปทางส้นเท้าและกดลงเบาๆ เหยียดแขนให้ตรง หายใจเข้าและออกช้าๆ พร้อมเอนตัวไปด้านหลัง ค้างไว้นับ 1-10 ค่อยคืนตัวกลับท่าเริ่มต้น

B นั่งไขว้ขาชัน เข่ามือจับขาทั้งสองข้าง หายใจเข้าช้าๆ พร้อมแยกเข่าออกจากัน ขณะเดียวกันให้ใช้มือทั้งสองออกแรงต้านขาไว้ หายใจเข้าอีกครั้ง นับ 1-10 ค่อยหายใจออก

C นั่งเหยียดขาข้างที่มีอาการปวดเข่า จากนั้นไขว้ขาอีกข้างทับบนเข่าข้างที่เจ็บ วางมือทั้งสองข้างราบกับพื้นข้างลำตัว เหยียดแขนตรงหายใจเข้าและออกช้าๆ พร้อมไถมือไปด้านหน้าจนสุดเท่าที่ทำได้ จนรู้สึกว่าขาที่ทับเข่าตึง จึงค่อยดึงมือกลับ

D 1 ยืนตรงพิงกำแพง ไขว้ขาขวาทับขาซ้าย ใช้มือซ้ายดึงข้อเท้าขวาขึ้น มือขวากดเข่าขวาหายใจเข้าลึกๆ พร้อมยืดหลังให้ตรงที่สุด

2 หายใจออกช้าๆ พร้อมหย่อนเข่าซ้าย ขณะเดียวกันมือขวากดเข่าขวาลง มือซ้ายออกแรงดึงข้อเท้าเท่าที่ทำได้ หายใจเข้าพร้อมยืดขาซ้ายขึ้นตรง ค่อยๆ ผ่อนมือทั้งสองข้าง จากนั้นไขว้ขาซ้ายทับขาขวา ใช้มือขวาดึงข้อเท้าซ้ายขึ้น มือซ้ายกดเข่าซ้าย ทำเช่นเดียวกันจนจบข้อที่ 2

ไฝตรงข้างจมูกด้านซ้าย,ไฝที่แก้มซ้าย

ไฝตรงข้างจมูกด้านซ้าย

ทายว่า ผู้นั้นเป็นคนมีวาสนาดี มีความอดทนและเพียรพยายามมาก มีสติปัญญา เป็นเหตุนำชีวิตไปสู่ความเจริญและราบรื่นดี
ไฝที่แก้มซ้าย

เป็นคนที่มีอำนาจวาสนาดี ชะตาชีวิตมักรุ่งเรือง แต่มีอารมณ์ทางเพศสูง

ต้มไก่ตัวให้สวย หนังไม่ลอก

ต้มไก่ตัวให้สวย หนังไม่ลอก
ทำความสะอาดไก่ ดึงขนที่ตกค้างตามส่วนต่างๆ ออกแล้วล้างให้สะอาด
รวมทั้งข้างในตัวไก่ด้วย ใส่เกลือลงในท้องไก่ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต้มน้ำ
ให้เดือด นำไก่ลงต้มแล้วเบาไฟ น้ำควรท่วมตัวไก่ คอยเติมน้ำให้เดือดปุดๆ
เล็กน้อย คอยช้อนฟองออก เพื่อป้องกันคราบฟองติดบนตัวไก่ ต้มนานประมาณ
30 - 40 นาทีจนไก่สุก

คุ้มหรือ... จี้ไฝเม็ดละ 50 บาท ศัลยกรรมความงามราคาถูก

คุ้มหรือ... จี้ไฝเม็ดละ 50 บาท ศัลยกรรมความงามราคาถูก

สาวๆ ที่มีเงินอยู่ในกระเป๋าไม่มากนักต้องชะงัก พ่อค้าแม่ค้าหัวใสจึงคิดหาวิธีดึงดูด "ลูกค้า" กระเป๋าเบาด้วย "ราคา" ดั่งเช่นร้านกำจัดไฝ ฝ้า กระ ราคาย่อมเยา ที่ตั้งขึ้นในตลาดนัดต่างๆ ราคาถูกถึงขนาดบางร้านขึ้นป้ายตัวใหญ่เป้งว่า "กำจัดไฝจุดละ 50 บาท"


จาก การสำรวจแหล่งช็อปปิ้งสินค้าราคาถูก ทั้งย่านลาดพร้าว อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็พบว่ามีร้านเสริมสวยลักษณะนี้อยู่ทั่วไป โดยหน้าร้านจะมีการนำเอาป้ายโฆษณาการให้บริการตั้งอยู่ชัดเจน ในร้านมีเตียงคล้ายเตียงสระผมอยู่ประมาณ 1-2 ตัว ไว้สำหรับให้บริการลูกค้า ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ ก็จัดตั้งอยู่บนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้สำหรับวางของ

สิ่งสำคัญคือ มีลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเข้ามาใช้บริการกันสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน

อย่าง เช่น ที่ร้านรับจี้ไฝย่านอนุสาวรีย์ฯร้านหนึ่ง ลักษณะของร้านเป็นห้องแคบๆ ขนาด 2X1 เมตร ด้านหน้ามีรูปนักร้องนักแสดงหญิงชื่อดังชาวอเมริกันที่มีการโยงจุดไฝใน ตำแหน่งต่างๆ และชี้คำทำนายของไฝแต่ละจุด มีโต๊ะเก้าอี้รับแขกเล็กๆ สีสันสดใส สำหรับให้ลูกค้านั่งคอย ด้านในมีฉากกั้น เพื่อให้เป็นส่วนของ "ห้องปฏิบัติการ" แต่มิได้มีเตียงแต่อย่างใด เป็นเพียงเก้าอี้ผ้าใบตั้งอยู่ ด้านข้างเป็นโต๊ะตัวเล็ก มีหลอดยาพลาสติคขวดเล็กใหญ่ กระปุกเล็กคัตตอนบัต แอลกอฮอล์ นาฬิกาเพื่อจับเวลาเท่านั้น

หลังจากที่พูดคุยกันถึงการรักษาเรียบ ร้อยแล้ว จึงเริ่มต้นการ "กำจัดไฝ" ผู้ให้บริการใส่ถุงมือยาง แล้วนำเอาคัตตอนบัตจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดบริเวณที่ต้องการ จากนั้นจึงนำไม้จิ้มฟันจุ่มตัวยาสีขาว ซึ่งได้รับคำบอกกล่าวจากผู้ให้บริการว่าเป็นยาสมุนไพรไทยพร้อมกับบอกว่า ต้องทิ้งไว้เป็นเวลา 10 นาที

"ยาตัวนี้ทาครั้งแรกจะไม่รู้สึกอะไร แค่เย็นๆ มีกลิ่นหอมคล้ายแป้งด้วย" ผู้ให้บริการบอกให้ลูกค้าสบายใจ

เวลา ผ่านไป 10 นาที ตัวยากำจัดไฝนี้เริ่มแห้ง มีลักษณะคล้ายแป้งน้ำสำหรับทาตัว จากนั้นผู้ให้บริการนำไม้จิ้มฟันอันเดิม เขี่ยให้ยาหลุดออกไป สังเกตได้ว่าขี้แมลงวันมีรอยจางลง จากนั้นผู้ให้บริการนำยามาใส่ให้อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้รู้สึกเจ็บแสบบริเวณที่ทายาเล็กน้อย แล้วต้องรออีกประมาณ 5 นาที เพื่อให้ยาแห้ง ก็จะนำไม้จิ้มฟันมาเขี่ยอีกครั้ง ครั้งนี้สังเกตได้ชัดเจนว่าขี้แมลงวันหายไปแล้ว กลายเป็นหลุมลักษณะคล้ายแผลถูกน้ำมันร้อนกระเด็นใส่

ผู้ให้บริการ ได้ใส่ยากำจัดไฝถึง 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายผิวมีอาการปวดแสบหนักขึ้น ผิวบริเวณรอบๆ แดงเป็นวงกว้าง เมื่อพบว่าขี้แมลงวันหลุดออกหมดแล้ว ผู้ให้บริการจึงนำคัตตอนบัตจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดแผลอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นใส่ยาเจลใสเย็น ซึ่งอ้างว่าเป็นยารักษาแผลเป็น

เป็นอันเสร็จขั้นตอน การกำจัดไฝแบบรวดเร็ว ฉับไว ราคาถูก

" อย่าถูกน้ำ 1 ชั่วโมง และห้ามรับประทานอาหารทะเล เป็นเวลา 7-10 วัน เพราะหลังจากนี้แผลจะตกสะเก็ด อาบน้ำได้ตามปกติ แต่ระวังอย่าใช้ผ้าเช็ดตัวถูแรงๆ บริเวณแผล ใช้ซับน้ำให้แห้งก็พอ และห้ามทาครีมหรือโลชั่นใดๆ เด็ดขาด เพราะมีสารเคมีจะทำให้เป็นแผลเป็นได้"

ผู้ให้บริการแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวหลังจากเข้ารับการรักษา ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น

เป็น ที่น่าสังเกตว่าการบริการจี้ไฝราคาถูกนี้ แม้ดูผิวเผินอาจจะไม่น่ากังวลในเรื่องความปลอดภัยมากนัก หากแต่สภาพแวดล้อมของร้าน มิได้เป็นห้องสัดส่วนที่ควบคุมความสะอาดแต่อย่างใด เป็นที่สาธารณะเปิดกว้าง มิได้อยู่ในห้องกระจกติดแอร์ ด้านข้างเป็นร้านขายรองเท้า บางแห่งตั้งร้านอยู่ในศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้า และตัวยาที่ใช้ก็มิได้มีฉลากบรรยายส่วนประกอบและสรรพคุณ รวมถึงแสดงให้เห็นว่าได้ผ่านการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยา

เวลา ผ่านไป 2 สัปดาห์ สะเก็ดแผลเพิ่งจะหลุดออก เผยให้เห็นว่า ขี้แมลงวันหายไปแล้ว น่าดีใจที่ยาสมุนไพรได้ผล แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาคือ รอยแผลเป็นที่ไม่รู้ว่าจะจางหายไปหรือไม่




จี้ไฝไม่ใช่เรื่องง่าย
รศ.พญ.ณัฏฐา รัชตะนาวิน หัวหน้าหน่วยโรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ให้คำแนะนำว่า ไฝ เป็นความผิดปกติของเซลล์สร้างสี ซึ่งอาจมีความเสี่ยงในการเกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้ แต่ต้องสัมพันธ์กับขนาด คือ หากไฝมีขนาดใหญ่มากเกิน 10 เซนติเมตรขึ้นไปถือว่าผิดปกติ การกำจัดไฝจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นไฝจริง และเป็นไฝตื้นหรือไฝลึก จากนั้นต้องตัดไฝนั้นไปพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ ถ้าเป็นเนื้อร้ายก็ต้องใช้วิธีการผ่าตัดแล้วเย็บแผล จะไม่มีการจี้ หรือฝานบริเวณผิวหนังด้านบนออก

"การไปใช้บริการการกำจัดไฝ หรือขี้แมลงวัน หรือกระ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ซึ่งความจริงหากไฝเม็ดเล็กๆ จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย หากไปใช้บริการจากผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ สารเคมีที่ใช้กำจัดไฝ จะส่งผลกระทบรบกวนต่อผิวบริเวณรอบ หากเกิดผลข้างเคียง แพทย์อาจวินิจฉัยคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งปัจจุบันนี้เทคโนโลยีในการกำจัดไฝมีประสิทธิภาพและราคาไม่แพงเกินไป"

เคล็ดลับ การหมักเนื้อเสต็ก ให้นุ่ม... อร่อย

สเต็กเคล็ดลับ การหมักเนื้อเสต็ก ให้นุ่ม... อร่อย

เคย มั๊ยค่ะ เวลาไปสั่งสเต็กทาน แล้วเจอกับเนื้อสเต็ก ที่แข็งเป็นกระดาน ถึงจะรสชาติดี แต่กลับทาน ไม่อร่อยเอาเสียเลย ทั้งนี้ก็เพราะความอร่อยของ เนื้อที่ทานจะขึ้นอยู่กับ ความนุ่มกำลังดีของ เนื้อเวลาสัมผัสลิ้นด้วยค่ะ (ย้ำ..นุ่มกำลังดีนะคะ ไม่ใช่เปื่อยจนยุ่ย )
ที นี้ถ้าเราไปถาม พ่อค้าร้านของชำ ว่าทำยังไงให้เนื้อนุ่ม เค้าก็อาจจะแนะนำให้เราใช้ ผงทำให้เนื้อเปื่อย หรือผงเนื้อนุ่ม ซึ่งโดยมากเจ้าผงดังกล่าว ก็คือ โซดาผง ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์นุ่มได้จริงๆค่ะ แต่ประสิทธิภาพอาจมีมากกว่านั้น ก็คือทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้ของเรา เปื่อยนุ่มไปด้วยค่ะ (เป็นของแถมที่น่ากลัวมากๆ)

ที นี้ ถามว่าทำอย่างไรให้เนื้อสเต็กนุ่ม ทานอร่อยแต่ไม่ยุ่ยใช่ม๊า อารัมภบทอยู่ซะนาน สองนาน ครั้งหน้าถ้าจะทำสเต็ก ถ้าซื้อเนื้อแล้ว (จะเนื้อหมูหรือเนื้อวัว ก็เอาเถอะนะคะ) ก็อย่าลืมแวะไปหยิบสัปปะรดกลับบ้านด้วย ถ้าขี้เกียจปอกจะเอาแบบ ที่เค้าปอกแล้วก็ได้ค่ะ เวลาหมักก็ให้ใส่ น้ำสัปปะรดลงไปในน้ำหมักด้วย ในสัดส่วน น้ำสับปะรด 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักเนื้อ ประมาณ 1 กิโลกรัมค่ะ หมักทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมง (ใส่กล่องปิดฝาเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา) อยากกินของอร่อยต้องใจเย็นๆค่ะ ทีนี้ถ้าทำทานไม่หมด ก็ให้ใส่ถุงพลาสติก เรียงเข้าช่องแช่แข็งไว้ เวลาจะใช้ก็ค่อยเอาออกมา
ขอให้มีความสุขกับการรับประทาน เนื้อสเต็กอร่อยๆ นะคะ

บริหารกล้ามเนื้อหน้า เพื่อดวงตาคู่สวย

บริหารกล้ามเนื้อหน้า เพื่อดวงตาคู่สวย


เริ่มจาก

1.ใช้ปลายนิ้วชี้ กลาง และนาง ยืดคิ้วออกด้านข้าง 3 ครั้ง

2.ใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้าง หมุนวนรอบดวงตาพร้อมๆ กัน โดยวนตามเข็มนาฬิกา ทุกครั้งให้หยุดกดที่บริเวณหัวคิ้ว ทำแบบนี้ซ้ำทั้งหมด 6 รอบ

3.ใช้นิ้วกลางกดจุด ไล่ตั้งแต่หัวคิ้วถึงขมับ 3 รอบ

4.กดจุดไล่ลงมาบริเวณใต้ตา ไล่ตั้งแต่หัวตาถึงหางตา 3 รอบ

5.ใช้นิ้วกลางนวดที่บริเวณขมับ หมุนเป็นรูปเลขแปด ทำซ้ำทั้งหมด 6 รอบ

6.ทำซ้ำข้อ 2-5 ทั้งหมด 3 รอบ สุดท้าย นำมือทั้งสองข้างปิดที่ดวงตา ลากน้ำหนักที่ปลายนิ้วออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้า แล้วค่อยๆ ยกฝ่ามือออกจากใบหน้า" ครูสอนโยคะ แนะนำ


ได้รู้เคล็ดลับการบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตาแบบนี้ รับรองว่าคราวหน้าสบตากับใคร คงเปล่งประกายวิบวับจับใจทีเดียว

ดวงตาสดใส ด้วยเลสิค Lasik

ดวงตาสดใส ด้วยเลสิค Lasik
ใครๆ ก็คงอยากมีสายตาสดใสมองโลกแจ่มชัด โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหนาเตอะ หรือคอนแทคเลนส์ให้วุ่นวาย นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ "เลสิค" นวัตกรรมใหม่ในการรักษาสายตา ผงาดขึ้นครองความนิยมในเวลาอันรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การที่เลสิคฮอตฮิตอยู่ทุกวันนี้ ใช่เพียงเหตุผลแค่ผู้คนนึกเบื่อแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์เท่านั้นแต่อยู่ที่ ความโดดเด่นของวิธีการทำเลสิคเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก รวดเร็วปลอดภัย แถมยังให้ผลอย่างถาวร ข้อดีเยอะขนาดนี้ จะไม่ให้โดนใจเห็นทีคงยาก

เลสิค หรือ LASIK ย่อมาจาก Laser In-Situ Keratomileusis เป็นวิธีที่มีความก้าวหน้าทันสมัยมากวิธีหนึ่งในการรักษาสายตาที่ผิดปกติ (ทั้งสายตาสั้น ยาว หรือเอียง)

โดยใช้เครื่องมือที่สำคัญ 2 ชนิด คือ เครื่องมือแยกชั้นกระจกตา (Microkeratome) และเครื่องเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser)

มาถึงการเตรียมตัวก่อนทำเลสิคกันก่อนค่ะ
  • ผู้เข้ารับการรักษาทุกรายจะต้องเข้ารับการตรวจสภาพตาโดยละเอียดจากจักษุ แพทย์ เช่น วัดความโค้งและความหนาของกระจกตา วัดขนาดรูม่านตา วัดค่าความผิดปกติของสายตาโดยละเอียด ทั้งก่อนขยายม่านตาและหลังขยายม่านตาด้วยยาหยอดขยายม่านตา รวมถึงการตรวจและประเมินสภาพตาอย่างละเอียด ซึ่งข้อมูลที่ได้ทั้งหมด จักษุแพทย์จะนำมาใช้วางแผนการรักษาและให้ข้อแนะนำแก่ผู้ที่เข้ารับการรักษา ต่อไป


  • ผู้เข้ารับการรักษาที่ใส่คอนแทคเลนส์ จะต้องถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนล่วงหน้า ในกรณีที่ใส่เลนส์ชนิดนิ่มควรถอดก่อนอย่างน้อย 3 วัน ส่วนเลนส์ชนิดแข็งควรถอดก่อนอย่างน้อย 3 สัปดาห์ค่ะ


  • ที่นี้ก็มาถึงขั้นตอนการทำที่หลาย ๆ ท่านอยากทราบกันมาก

ขั้น ตอนการทำเลสิคจะเริ่มจากจักษุแพทย์จะทำการแยกชั้นกระจกตาด้วยเครื่องมือแยก ชั้นกระจกตา (Microkeratome) ก่อน จากนั้นจะใช้เครื่องเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ทำการปรับเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาตามที่ได้คำนวณไว้แล้ว โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมการทำงานของเลเซอร์ทำให้มีความแม่นยำสูง ซึ่งขั้นตอนการใช้เลเซอร์นี้จะใช้เวลาแตกต่างกัน ตามแต่ความมากน้อยของความผิดปกติของสายตาหลังจากนั้นจึงนำชั้นกระจกตาปิด กลับเข้าที่เดิม โดยไม่ต้องมีการเย็บแต่อย่างใด เพียง 3-5 นาที กระจกตาก็จะสมานกลับเข้าที่เดิมโดยธรรมชาติ

โดยปกติ ขั้นตอนการทำเลสิคใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที หรือประมาณ 15 นาที ต่อ 1 ข้าง
การ รักษาชนิดนี้ไม่มีความเจ็บปวด เนื่องจากจักษุแพทย์จะใช้ยาชาหยอดตาให้ก่อน และในระหว่างการทำก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฉีดหรือยาสลบแต่อย่างใด ภายหลังการรักษาสามารถกลับบ้านได้ทันทีด้วยค่ะ

โดยทั่วไป การทำเลสิคจะมีระยะการพักฟื้นที่เร็วมาก เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะเป็นปกติ โดยส่วนใหญ่สามารถไปทำงานได้ในวันรุ่งขึ้น หลังการรักษาแล้วการมองเห็นมักจะดีขึ้นทันที แต่จะเห็นผลชัดเจนเมื่อได้รับการเปิดตาจากจักษุแพทย์ในวันรุ่งขึ้น ส่วนสายตาจะมองเห็นชัดเจนหรือเข้าที่ก็หลังจากผ่าตัดไปแล้วประมาณ 3-4 สัปดาห์

ถึงแม้การทำเลสิคจะมีความแม่นยำสูง แต่ผลการรักษาก็ขึ้นกับความมากน้อยของภาวะสายตาที่เป็นอยู่ด้วย จักษุแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและชี้แจงให้ทราบถึงโอกาสของความสำเร็จในการ รักษาตามสภาพสายตาที่เป็นอยู่ของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละรายค่ะ

อ่าน มาถึงบรรทัดนี้ คงเห็นด้วยนะคะว่า การทำเลสิคนั้นแสนสะดวกจริง ๆ ใครที่มีปัญหาเรื่องสายตาแล้วอยากจะรักษาด้วยวิธีนี้ ก็ลองมาปรึกษากับจักษุแพทย์ได้ แต่อยากฝากข้อคิดไว้อย่างหนึ่ง แม้ว่าการทำเลสิคอาจดูเหมือนง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย แต่ก็อย่าประมาทค่ะ ถ้าคิดจะทำจริง ๆ ก็เลือกทำในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีจักษุแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงจะดีกว่า มิฉะนั้นอาจได้ไม่คุ้มเสีย

เชื่อว่าการทำเลสิคคงช่วยให้ความหวังของหลาย ๆ ท่านที่อยากจะโบกมือลาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์... เป็นจริงสักที

การเก็บเนื้อหมู


การเก็บเนื้อหมู
การเก็บเนื้อหมูไว้ให้ใช้ได้นาน ควรเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง แต่เนื้อหมู
แข็งๆ ที่เป็นก้อนๆ นั้นตัดแบ่งได้ยากเหลือเกิน หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องรอ
กันนานกว่าจะหายแข็ง หรือต้องนำไปแช่น้ำให้หายแข็งเร็วขึ้นสูญเสียคุณค่า
ทางอาหารไปอีก ดังนั้นเมื่อซื้อเนื้อหมูมาแล้ว ควรล้างให้สะอาด ตัดแบ่งเนื้อ
หมูเป็นชิ้นย่อยๆ ไว้ตามประเภทอาหารที่จะปรุง หรือตามปริมาณต่อครั้ง
ที่จะใช้ เช่นแบ่งเป็นชิ้นพอสับทำแกงจืดรับประทาน 1 ครั้ง หรือทำ
ลาบหมูรับประทาน 1 ครั้ง จากนั้นนำใส่ในถุงพลาสติก แยกเป็นชิ้นๆ
จึงนำเข้าแช่ในตู้เย็น เวลาจะใช้ก็นำออกมาทิ้งให้หายแข็งตัวเพียงเท่าจำนวน
ที่จะใช้ หรือจะแช่น้ำก็แช่ได้ทั้งที่ยังใส่อยู่ในถุงพลาสติก สะดวกง่ายดายจริงๆ

เต้าหู้ : วิธีเลือกซื้อ : รู้ได้อย่างไร ว่าไม่ใส่สารกันบูด

เต้าหู้

เต้าหู้ : วิธีเลือกซื้อ : รู้ได้อย่างไร ว่าไม่ใส่สารกันบูด

เป็นที่ยอมรับกันอยู่ในปัจจุบันว่า นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว "เต้าหู้" เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง เวลาเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจ เราก็จะได้เห็นหน้าค่าตา เต้าหู้ บ่อยเป็นพิเศษ แต่ถึงแม้จะไม่ใช่ช่วงเวลากินเจ เราก็ยังคงนิยมใช้ เต้าหู้ มาประกอบอาหารกันอยู่เป็นประจำ ในปัจจุบันเต้าหู้ที่เห็นขายกันอยู่ใน ท้องตลาด มีทั้งเต้าหู้สดและเต้าหู้อุตสาหกรรม
เต้าหู้สด เต้าหู้สดที่ผลิตด้วยวิธีธรรมชาติ จะไม่ใส่สารกันบูด เวลาใช้ ควรซื้อมาแล้วใช้ประกอบอาหารทันที เต้าหู้ที่สดใหม่ จะมีกลิ่นหอม และรสดีที่สุด เต้าหู้ที่ทำขายวันต่อวัน ไม่มีของเหลือค้างก็ไม่น่าจะมีสารกันบูด แต่ถ้าอยากพิสูจน์ก็ไม่ยาก แค่เอาเต้าหู้วางไว้เปลือยๆ ไม่ต้องหล่อน้ำเลี้ยง ไว้นอกตู้เย็น ถ้าไม่บูดเปรี้ยวในหนึ่งวัน ก็สันนิษฐานได้เลยว่า เป็นเต้าหู้ที่ใส่สารกันบูด

เต้าหู้อุตสาหกรรม จะใช้ความร้อนสูงและบรรจุภัณฑ์มายืดอายุเต้าหู้ จะระบุอายุการเก็บไว้ต่างๆกัน ถ้าบรรจุในบรรจุภัณฑ์พลาสติกสูญญากาศ จะระบุอายุตั้งแต่ 3-6 สัปดาห์ ส่วนเต้าหู้หลอดอายุ 6 สัปดาห์ แต่คุณรู้หรือไม่ ว่าความอร่อยของเต้าหู้อยู่ที่ความสด ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเต้าหู้ ที่ทั่วโลกยอมรับ William Shurtleff และ Akiko Aoyagi บอกว่า เต้าหู้อุตสาหกรรม ในบรรจุภัณฑ์ต่างๆ สามารถคงความสดอยู่ได้ประมาณ 7 วัน หลังจากนั้น ถึงไม่เสียแต่ก็ไม่สด รสชาติเสื่อมลง ดังนั้นเราควรซื้อ เต้าหู้ที่มีอายุไม่เกิน 7 วัน นับจากวันที่ผลิต (โอ้.. จะหาซื้อได้ ในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือเปล่านี่) เอาเป็นว่า เวลาหยิบนอกจากจะดูว่ายังไม่หมดอายุ ก็เลือกเอาที่เก่าน้อยที่สุดแล้วกันค่ะ แล้วก็ถ้าใครที่ชอบซื้อมาเก็บไว้ทีละเยอะๆ คงต้องเปลี่ยนวิธีใหม่ ซื้อมาพอใช้ หมดแล้วซื้อใหม่ดีกว่าค่ะ

Shake Shake Shake ก่อนซื้อมะพร้าวอ่อน


Shake Shake Shake ก่อนซื้อมะพร้าวอ่อน
หลาย ๆ ครั้งที่ซื้อมะพร้าวอ่อนมาทาน ป้ายก็ติดว่ามะพร้าวอ่อน แต่เอาเข้าจริง ๆ เนื้อมะพร้าวกับไม่อ่อนเหมือนป้าย มีวิธีสังเกตมะพร้าวอ่อนหรือไม่อ่อนง่าย ๆ คือให้ลองเขย่าดู ถ้ารู้สึกว่าเหมือนน้ำจะเต็ม ๆ ลูกอยู่ (ไม่ค่อยมีเสียงน้ำ) แสดงว่าเนื้อมะพร้าวยังอ่อนอยู่ ถ้าได้ยินเสียงน้ำอยู่ข้างในชัด ๆ แสดงว่ามะพร้าวลูกนั้นเนื้อแข็งแล้วค่ะ

ดีดแล้วดม : เคล็ดไม่ลับซื้อสับปะรด



ดีดแล้วดม : เคล็ดไม่ลับซื้อสับปะรด
ถ้าใครที่นาน ๆ จะซื้อสับปะรดมาปอกรับประทานเองสักที อาจจะมี
ปัญหาว่าเลือกอย่างไรถึงจะได้สับปะรดเนื้อดี หวานฉ่ำ ดีดแล้วดมสิคะ ดีดถ้า
เสียงแปะ ๆ ละก็ใช้ได้ ถ้าเป็นเสียงโป๊ก ๆ ละก็อย่าซื้อมาเชียว ถ้าจะซื้อแล้วปอก
รับประทานวันนั้นเลยก็เลือกที่ดมแล้วมีกลิ่นหอมสับปะรดออกมา ถ้าจะเก็บไว้
ทานวันหน้า ก็เลือกที่หอมน้อยหน่อย

ปลา : วิธีเลือกซื้อปลา

ปลา

ปลา : วิธีเลือกซื้อปลา

กฏข้อ ที่ 1 ก่อนที่จะซื้อปลา ควรรู้ก่อนว่าจะเอาปลาไปทำอะไรค่ะ เพราะเวลาเลือกซื้อเรา ต้องเลือกซื้อตามชนิดอาหาร ที่จะทำ เช่น ถ้าจะซื้อไปทำทอดมัน ก็ซื้อเป็นเนื้อปลา ถ้าจะซื้อไปทอด ก็ใช้ปลาทั้งตัว แต่ต้องตัวไม่ใหญ่มากจนเกินไป ส่วนถ้าจะนึ่งก็เลือกได้ ว่าจะนึ่งทั้งตัว หรือจะนึ่งเป็นชิ้นค่ะ
กฏข้อ ที่ 2 เนื้อปลาต้องสด ค่ะ เฮ้อพูดมันง่าย แต่ถ้าคนไม่เคยซื้อนี่ มันดูยากเหลือหลาย ข้อสังเกตง่ายๆ ปลาสด ผิวจะเป็นมัน มีเมือกใสๆ บางๆ หุ้มตัว ตานูนใสฝังแน่นในเบ้าตา ถ้าตาโบ๋ตาขุ่น สงสัยไว้ก่อนว่า คงไม่สด เหงือกมีสีแดง เนื้อแน่นกดแล้วไม่บุ๋ม ถ้าเป็นปลาที่มีเกล็ด เกล็ดต้องยังเป็นเงา แนบติดกับตัวค่ะ

กฏข้อที่ 3 ขอดมหน่อย ลองดมดูสักนิดค่ะ ปลาจะมีกลิ่นคาวตามธรรมชาติ แต่ทีแน่ๆ ต้องไม่ใช่ กลิ่นเหม็นเน่าค่ะ

ปู : วิธีเลือกซื้อปูทะเล

ปูม้า

ปูม้า

ปู : วิธีเลือกซื้อปูทะเล

ปู ทะเลสด จะมีสีเขียวเข้ม อ้วน หนัก ก้ามใหญ่ ตาใส กลางหน้าอก (ไม่ใช่กลางกระดองนะคะ ต้องหงายท้องดูค่ะ) จะแข็งกดไม่ลง ถ้าเป็นปูตัวเมีย ฝาปิดหน้าอกจะใหญ่ ส่วนตัวผู้ฝาปิดหน้าอก จะเล็ก ปูตัวผู้เนื้อจะมากกว่าตัวเมียค่ะ
ปู ทะเล จะซื้อมาทำอาหารให้อร่อย ต้องซื้อตอนยังเป็นๆ อยู่ค่ะ (ใครถือศีล สงสัยจะทำใจลำบาก) วิธีทดสอบว่าปูยังเป็น อยู่หรือเปล่า ให้ลองแหย่ลูกตาปูดูค่ะ ถ้ายังกระดุกกระดิกอยู่ แสดงว่ายังไม่ตาย เราไม่นิยมใช้ปูตาย เพราะเนื้อจะน้อยกว่าปูเป็นๆ ค่ะ

ซื้อ ปูไข่ จะรู้ได้ยังไง ว่ามีไข่หรือไม่มีไข่ อันนี้ต้องออกแรงนิ้ว ดีดกระดองดูค่ะ จะมีเสียงแน่นทึบ ถ้าเป็นเสียงโปร่งอย่าซื้อค่ะ น่าจะไม่มีไข่ค่ะ

วิธี เลือกซื้อหอย

หอยแมลงภู่

วิธี เลือกซื้อหอย

ซื้อหอยสด ทั้งเปลือก ปากเปลือกจะปิดแน่น เมื่อวางทิ้งไว้ปากจะอ้าออก พอเอามือแตะ ปากจะปิดทันที
หอยแมลงภู่ ที่แกะแล้ว ควรเลือกตัวสีสด ไม่ช้ำ ตัวหอยยังดูเป็นตัว ไม่ขาดรุ่งริ่ง น้ำที่แช่หอย ต้องไม่ขุ่นมาก และไม่มีเมือก

หอยนางรม ที่แกะแล้วสีต้องสด มีเยื่อบางๆ เกาะอยู่ด้วยค่ะ

เปิดมุมคิด "หมอโอ๊ค" คอลลาเจนอินเทรนด์?

เปิดมุมคิด "หมอโอ๊ค" คอลลาเจนอินเทรนด์?


ชื่อ ของคุณหมอที่วัยรุ่นกรี๊ดกร๊าดที่สุดในตอนนี้ เห็นทีจะไม่มีใครเกิน คุณหมอโอ๊ค-น.พ.สมิทธิ์ อารยะสกุล คุณหมอที่ดังเป็นพลุจากการจับไมค์ ไม่ใช่จับเข็ม...

หน้าตาที่หล่อใส เสียงเพลงที่โดนใจ อาทิ ซื้อกุหลาบให้ตัวเอง, แค่วูบเดียวในคืนเหงา ทำให้เขาดังกระหึ่ม จนกระทั่งเนื้อหอมเอามากๆ ถึงขนาดอาจเห็นภาพของหมอโอ๊คไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ในหลายสินค้า

แต่ ความสามารถของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ในด้านวิชาชีพหมอที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมา หมอโอ๊คไม่เคยทิ้ง... ฝีไม้ลายมือในฐานะของแพทย์ผิวหนัง ดีกรีระดับแพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั้นไม่เบา... มีคนไข้ติดตรึม และแห่มารักษากับหมอวัย 26 คนนี้

ทั้งที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, Siam Dermatik"s Clinic ตรงข้ามศูนย์หนังสือจุฬาฯ, ศูนย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, โรงพยาบาลกรุงเทพ

ในเช้าวันสบายๆ D-life นัดคุยกับหมอโอ๊ค เพื่อพูดคุยกับเกี่ยวกับมุมคิดในเรื่องของคอลลาเจนที่กำลังอินสุดๆ ในตอนนี้
" ก่อนอื่นต้องรู้จักก่อนว่า คอลลาเจนคืออะไร ซึ่งก็คือสารอย่างหนึ่งที่อยู่ในผิวหนังชั้นหนังแท้ ทีนี้ผิวหนังจะดูสดใส หรือตึง เกิดริ้วรอย ก็เกิดจากตัวหนังแท้ข้างล่างนี่แหละ ถ้าเกิดเสื่อมโทรมและโดนทำลาย อายุมากขึ้น แสงแดด ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คอลลาเจนแตกสลายออกไป ก็ทำให้ผิวที่เคยตึงหรือเต็มตลอดเวลาก็แฟบลง ผิวหนังของคนที่อายุมากขึ้น ก็เลยเหี่ยวลง ดูไม่มีชีวิตชีวา เพราะความตึงจากข้างล่างมันหมดไป"



แล้วเราจะทำอย่างไรให้คอลลาเจนคงอยู่...อันนี้ผมขอแบ่งเป็นการรักษากับการป้องกันก็แล้วกัน

" การป้องกัน-ปัจจัยแรกที่สำคัญมากๆ คือแสงแดด ผมจะพูดเสมอว่า ต้องรู้จักป้องกันด้วยผลิตภัณฑ์กันแดด คุณจะทำการรักษาอะไรที่แอดวานซ์มาก เทคโนโลยีใหม่แค่ไหน แต่ถ้าไม่ป้องกันแสงแดด ทุกอย่างที่ทำก็สูญเปล่า แล้วก็เรื่องอาหารก็สำคัญ เพราะร่างกายของเราที่แข็งแรงจะมีระบบกำจัดสารพิษอย่างสารต่อต้านอนุมูล อิสระต่างๆ เพราะฉะนั้นพวกวิตามินต่างๆ ต้องทานให้ครบถ้วน ของเสียก็จะโดนกำจัด จะทำให้ไม่มีอะไรที่เป็นพิษไปทำลายผิวหนังของเรา ส่วนวิธีรักษา-อันนี้ยอดฮิตเลยตอนนี้ มีหลายอย่าง ทุกคนก็สนใจ มีทั้งการใช้เลเซอร์ สำหรับผิวหนังที่เกี่ยวกับคอลลาเจน เรียกว่า รีจูวิเนชั่นเลเซอร์"

"มีอีกอย่างคือ ทา แต่ความที่คอลลาเจนนี่ส่วนใหญ่โมเลกุลใหญ่ จะทำหน้าที่เคลือบผิวมากกว่าทำให้ผิวชุ่มชื้น จะดูดีขึ้น แต่ไม่ได้แทรกลงไป แต่สารที่ทานแล้วกระตุ้นให้เกิดคอลลาเจนได้จริงๆ กลายเป็นกลุ่มวิตามินเอ เป็นตัวที่ทาแล้วกระตุ้น เขาเรียกว่า เรตินอล เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์จะใส่ แต่อาจจะน้อยเพราะไม่งั้นมีปัญหาเรื่องการวางขายที่ต้องตีเป็นยา"



... แล้วก็มีในรูปของการรับประทาน อันนี้ได้ผลในงานวิจัยน้อยมาก เราไม่ได้เอามารักษาในลักษณะคนไข้ แต่เอามาใช้ในลักษณะอาหารเสริม เพราะฉะนั้นไม่มีบทพิสูจน์ว่าทานแล้วจะปรากฏบนผิวหนัง แต่ถามว่าทานได้ไหม ทานได้ !
"ผมมองว่าถ้าผู้บริโภคสังเกตดีๆ จะเห็นว่า ทางโฆษณาจะไม่ได้บอกสรรพคุณชัดเจนว่า ทานเพื่อให้ผิวของท่านดีขึ้น เขาจะบอกแค่การพรีเซนต์ด้วยความสดใสจากพรีเซ็นเตอร์มากกว่า คงไม่ได้ผลแบบยา เพราะฉะนั้นก็ต้องทานแบบมีสติ บางคนจะไปซีเรียสกับมันมาก ทุกอย่างต้องใส่หมด จริงๆ มันก็ไม่ได้ผลขนาดนั้น"


หมอ โอ๊คบอกว่า ในขณะที่เขาทำหน้าที่แพทย์ผิวหนังนั้น มีคนไข้มาถามและขอคำแนะนำเรื่องคอลลาเจนอยู่เรื่อยๆ เพราะปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เกิดขึ้นเยอะมากจนคนสงสัยว่า ใช้แล้วได้ผล ไม่ได้ผลอย่างไร

นี่แหละความสนุกในอีกบทบาทหนึ่งของหมอโอ๊คที่เขาอธิบายให้ฟังว่า

" การเป็นแพทย์ผิวหนังนี่ต้องอัพเดตรายเดือน เหมือนอ่านแมกาซีนเลย เพราะจะมีแค็ตตาล็อกเทคโนโลยีใหม่ๆ มาให้เลือก นอกจากคอลลาเจนแล้ว เชื่อไหมเดี๋ยวนี้ยังมีสารเติมเต็มอื่นๆ อีก แบ่งเป็นรุ่นด้วยนะ มีตั้งแต่รุ่นเติมร่องเล็ก เติมหางตา ขึ้นกับการปรับโมเลกุล วิธีฉีด และเทคนิค แต่พวกนี้จะไม่อยู่แบบถาวร หรือพวกไฮยาลูลอนิก อันนี้ก็นิยม มีหลายยี่ห้อ หรือสารสังเคราะห์อย่างโพลีแอนติลาไมก็ใช่"


ประเทศ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำเทรนด์ด้านนี้ หมอโอ๊คยกให้อเมริกาและเกาหลีที่ไวมากๆ นอกจากนี้ก็มีฝรั่งเศสที่เก่งในเรื่องของการฉีดยาใต้ผิวหนัง "เมโสเทอราปี"
"ในฐานะของแพทย์คงต้องเรียนรู้อีกเยอะ ตอนนี้สิ่งที่เราพยายามทำกันในวงการแพทย์ก็คือ ลดการซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศด้วยการทำงานวิจัยของเราออกมาใช้ แพทย์ทุกคนพยายามร่วมมือกันเพื่อพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด ประเทศจะได้ไม่เสียดุล"


สำหรับตอนนี้ หมอโอ๊คบอกว่า เป็นช่วงแห่งการเหนื่อยหนัก เป็นวัยทำงาน ที่เขาเองก็ต้องจัดสรรเวลาให้ลงตัวที่สุด ทั้งงานด้านศิลปินและแพทย์ผิวหนัง ที่นับวันจะไม่ได้มีแต่แฟนคลับที่เพิ่มขึ้น แต่คนไข้ผิวหนังก็เพิ่มขึ้นอย่างนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน :D

นวัตกรรม"เลเซอร์" กับการดูแลผิวพรรณ

นวัตกรรม"เลเซอร์" กับการดูแลผิวพรรณ
"เทคโนโลยีความงาม" เป็น ศาสตร์ที่ก้าวหน้าและทันสมัยไม่แพ้เทคโนโลยีอื่นๆ เพราะคิดค้นเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ขึ้นมาใช้อย่างต่อเนื่อง รุดหน้ารวดเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองผู้หญิงทุกคนที่ต้องการมีผิวพรรณสวยสดใสไร้ริ้ว รอย

ก่อนหน้านี้ หลายคนคงเคยรู้จักเทคโนโลยีการดูแลผิวด้วยนวัตกรรมหลายรูปแบบ รวมถึงเทคโนโลยียอดนิยม "เทอร์มาคูล" (ไอพีแอล)

ล่าสุด มีการพัฒนาไอพีแอล ยุคที่ 4 ซึ่งเรียกว่า "OPT" รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า "CO2 with Coolscan" ซึ่งเป็นนวัตกรรมการใช้เลเซอร์เพื่อความงามยุคใหม่ ที่ทางผู้พัฒนาอ้างว่าไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง

ระหว่างงานประชุมสัมมนาเชิงวิชาการหัวข้อ "Lumenis Aesthetic Medicine" ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ได้มีการแนะนำเทคโนโลยีเลเซอร์ทั้ง 2 ชนิด ซึ่งดร.เอเลียต เอฟ แบทเทิล แพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์จากสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในคณะวิทยากร

ดร.เอเลียต อธิบลายถึง 2 เทคโนโลยีใหม่ดังกล่าวว่า คิดค้นโดยบริษัทลูมีนิส (Lumenis) มีข้อดีกว่าไอพีแอลแบบเดิม

เพราะ "OPT" จะ มีระบบควบคุมการปล่อยพลังงานในหนึ่งรอบ ออกเป็นครั้งย่อยๆ 2-3 ครั้ง โดยเครื่องจะช่วยคำนวณและปล่อยพลังงานออกมาเองอย่างต่อเนื่องแม่นยำ ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาและมีความปลอดภัยสูง สามารถลดการเกิดผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยไอพีแอลแบบเดิม โดยมีตัวคูลลิ่งช่วยให้ความเย็น และมีฟิลเตอร์กรองแสง 7 ชั้น

ดัง นั้น ผู้ที่มีสีผิวเข้ม ผิวคล้ำ หรือผิวดำ ซึ่งมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ง่ายจากการทำเลเซอร์จะมีความปลอดภัย เมื่อใช้เทคโนโลยี OPT ซึ่งนับว่าบริษัทลูมีนิสเป็นรายแรกที่คิดค้นเทคโนโลยีนี้ โดยได้มีการทำการวิจัยมาแล้วที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

เทคโนโลยี "OPT" ใช้ ในการทำให้ผิวหน้าโดยรวมดีขึ้น เช่น ผิวเรียบเนียนขึ้น รูขุมขนเล็กลง ริ้วรอยลดลง รวมทั้งรักษาความผิดปกติของเม็ดสี เช่น กระ ฝ้า จุดด่างดำ และใช้กำจัดเส้นเลือด ที่ขึ้นบริเวณหน้า หรือขา และพยังใช้ในการกำจัดขนถาวรได้ด้วย

นอกจากนี้ การทำงานของเครื่องยังประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์และโปรแกรม ช่วยในการเก็บข้อมูลและประมวลผลคนไข้ได้มากถึง 3,000 คน ทำให้ประมวลผลและติดตามการรักษาคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนเทคโนโลยี "CO2 with Coolscan" ของบริษัทลูมีนิส ดร.เอเลียต กล่าวว่า ใช้หลักการของ "CO2 Laser" ร่วมกับระบบ "สแกนเนอร์ที่" ช่วย ในการปล่อยพลังงานเลเซอร์ออกมาเป็นจุดเล็กๆ อย่างแม่นยำ รวมทั้งลำดับการปล่อยพลังงานก็เป็นแบบสุ่ม และมีการเว้นช่องว่างของการปล่อยพลังงาน ไม่เรียงเป็นแถวตามลำดับเหมือนเครื่องมือ CO2 แบบเดิม

ทำ ให้ผิวฟื้นตัวได้เร็ว ใช้เวลาพักเพียงไม่กี่วัน โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงจึงลดลง ใช้เวลารักษาเพียง 20 นาที ด้านผลข้างเคียงของการทำมีน้อยมาก บางรายอาจจะมีอาการแสบร้อนหลังทำ แต่ก็จะหายได้เองใน 2-3 ชั่วโมง

บริษัทลูมีนิส สหรัฐฯ เป็นผู้นำผลิตสินค้ากลุ่มเลเซอร์ความงามและเลเซอร์ผ่าตัด ก่อตั้งมา 41 ปี

สำหรับในประเทศไทย มีบริษัทวีนัสเทคโนโลยี่ จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเลเซอร์ลูมีนิสเพียงผู้เดียว พร้อมเปิดให้บริการตามโรงพยาบาลและคลินิกผิวพรรณชั้นนำทั่วประเทศ

ริ้วรอยใหม่ทั้งที่ใช้ครีมบำรุงผิว

ริ้วรอยใหม่ทั้งที่ใช้ครีมบำรุงผิว
นับ แต่โบราณมาแล้ว ที่ผู้หญิงเราใช้เครื่องประทินผิวชนิดต่างๆ บำรุงผิวพรรณบนใบหน้า ด้วยหวังว่าจะคงผิวสาวไว้ให้นานเท่านาน ล่วงมาสมัยปัจจุบัน ผู้หญิงเรายังมีทั้งครีมบำรุงผิว โลชั่น เซรั่มต่างๆ หลากหลายชนิด ตั้งแต่ประเภทที่ได้จากธรรมชาติล้วนๆ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากวิทยาการผลิตขั้นสูงให้เลือกใช้กันอย่างมากมาย ในหลากหลายระดับราคา

นอก จากจะมีผลิตภัณฑ์มากมายล้นหลามแล้ว ถ้อยคำที่ใช้ในการพรรณาคุณค่าเพื่อความงามก็มีมากไม่แพ้กันเลย ผู้หญิงเราจะได้ยินได้ฟังศัพท์แสงใหม่ๆ ทางวิทยาการด้านความงามที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ใช้อธิบายคุณค่าและส่วนประกอบ ต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่แทบจะตลอดเวลา จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครเข้าใจ หรือประเมินถ้อยคำอธิบายผลิตภัณฑ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้อย่างถ่องแท้

นอก จากนั้น คำพรรณาคุณค่าผลิตภัณฑ์มักจะเอ่ยอ้างอิงถึงกรรมวิธีและวิทยาการอันล้ำเลิศใน การผลิต ทำให้ผู้หญิงเราทึ่งและเชื่อในคุณค่าของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทว่าผิวพรรณของเราหาได้เชื่อตามนั้นโดยง่ายอย่างเราไม่

การทำงานของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ข้อความสำคัญต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้กันเท่าที่ควร กล่าวคือ
ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวหน้าหลายชนิด สามารถแทรกซึมลงไปได้ถึงเพียงชั้นบนๆ ระดับหนังกำพร้าเท่านั้น ผิวของคนเราประกอบด้วยผิวถึง 3 ชั้น ได้แก่
ผิว ชั้นนอกสุด (คือหนังกำพร้า) ผิวชั้นรองลงมา (หนังแท้) และชั้นในสุด ซึ่งริ้วรอยก่อตัวขึ้นจริงๆ จากผิวชั้นหนังแท้ ในขณะที่ครีมบำรุงผิวส่วนมากชำแรกลงไปได้ถึงไม่เกินหนังกำพร้าเท่านั้น จึงแทบจะแก้ปัญหาริ้วรอยไม่ได้เลย

ส่วนครีมเพิ่มความชุ่ม ชื้น (moisturizers) นั้นทำหน้าที่ได้เพียงอุ้มน้ำ (ซึ่งมีอยู่แล้วในผิว) ไว้ได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ช่วยเพิ่มน้ำหรือความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้อย่างที่เข้าใจกัน แม้กระนั้น ครีมเพิ่มความชุ่มชื้นก็ยังสำคัญต่อการดูแลบำรุงผิวพรรณ เพราะช่วยปกป้องไม่ให้ผิวแห้งกร้านจนเกิดริ้วรอยได้ง่าย ทั้งยังช่วยบำรุงผิวได้ด้วย

ดังนั้น ความเข้าใจที่ว่าการใช้มอยซ์เจอไรเซอร์จะช่วยลดเลือนให้ริ้วรอยตื้นขึ้นจน มองไม่ค่อยเห็นนั้นเป็นความจริง แต่คำกล่าวที่ว่า มอยซ์เจอไรเซอร์จะช่วยปกป้องผิวจากรอยย่นและริ้วรอยต่าง ๆ ได้นั้น ออกจะเกินความจริงไป

ครั้งต่อไป ก่อนที่คุณจะเคลิบเคลิ้มไปกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์ราคาแพงเหล่านั้น ขอให้คุณแน่ใจได้ว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาริ้วรอยมากพอแล้ว

อุ้ยตาย! เทรนกระดูกเดินได้ของสาวฮอลลีวูดรุนแรงมากตอนนี้

อุ้ยตาย! เทรนกระดูกเดินได้ของสาวฮอลลีวูดรุนแรงมากตอนนี้
ไม่น่าเชื่อว่า ความรุนแรงของเศรษฐกิจยุคนี้ จะทำให้พวกเธออด... จนผอมโซ แต่จริงๆแล้วกลับกลายเป็นเทรนด์ กระดูกเดินได้ของสาวฮอลลีวูด พาเรดไซส์ซุเปอร์เอส ค่านิยมที่แท็บลอยด์ต่างออกมาครหา นำขบวนเนื้อหุ้มกระดูกโดย มาดามครูส KATIE HOLMES ควงแขนเพื่อนสนิท VICTORIA BACKHAM ให้ผอมกะหร่อง และเจ้าแม่ปาร์ตี้ LINDSAY LOHAN ที่ผอมจนสุดขั้ว จนกระดูกไหปลาร้ากระแทกกล้องนักข่าว

LINDSAY LOHAN

ผิวเป็นสิว

ผิวเป็นสิว



สภาพ ผิวที่เป็นสิวนี้ จะมีลักษณะเป็นตุ่ม ๆ ติดเชื้อและตุ่มหนอง เป็นได้ทั้งมากและน้อย แต่จะเป็นเม็ดเล็ก ๆ ผิวเป็นสิวนั้นมักจะเกิดขึ้นกับผิวประเภทผิวมัน ส่วนใหญ่แล้วผิวลักษณะนี้อาจแลดูไม่ค่อยสะอาด และไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี จึงพบว่าอาจมีสิวหัวดำ,สิวอุดตันได้

การเป็นสิวนั้นไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคภายในผิว แต่เป็นผลจากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้
- ฮอร์โมนแอนโดรเจน
- ปริมาณเซลล์โปรตีนเคราทินที่มากเกินไป
- ความหนาของชั้นหนังกำพร้า
- ท่อไขมันของผิว
- การผลิตน้ำมัน
- ปริมาณของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหน้า ที่รู้จักกันในชื่อของ P.Acne

สิวประเภทอื่น ๆ เช่น สิวถุงหนอง (Cystic) และ Rosacea นั้นควรได้รับการรักษาภายใต้ความดูแลของแพทย์



ปัจจัย อื่นบางประการที่สามารถทำให้อาการของสิวแย่ลงได้แก่ น้ำมันส่วนเกิน, การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสมในการกำจัดน้ำมันและสิ่งสกปรกออกจากผิว , ฮอร์โมนไม่สมดุล, การผลิตโปรตีนเคราทินที่มากเกิน, การแพ้อาหาร, ขาดวิตามิน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเอ), ค่า pH ความเป็นกรดของผิวไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับแบคทีเรียบนผิว, สภาพอากาศที่ร้อนชื้น ก็มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดสิวได้มากขึ้น เนื่องจากลักษณะนี้จะทำให้มีปริมาณแบคทีเรียเพิ่มมากขึ้น, การใช้ผลิตภัณฑ์สมานกระชับผิว และผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งมากเกินไป, การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม, ความเครียด

ผู้ที่เป็น สิวจึงควรดูแลทำความสะอาดผิวให้ดี และใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ควบคุมการหลั่งน้ำมัน, รักษาสภาพความเป็นกรดอ่อน ๆ ของผิว และลดการอักเสบ

ไข่ตุ๋นปูอัด


ไข่ตุ๋นปูอัด
ใครที่มีเด็กอยู่ในบ้าน อาจจะเคยพบกับปัญหานี้
เด็กเบื่ออาหาร อะไรอะไร ก็ไม่อร่อย

ถ้าใช่ เราขอแนะนำ เมนูอาหารสำหรับเด็ก
ไข่ตุ๋นปูอัด
ทำง่าย แต่อร่อยล้ำ
ก็ ลองเอาไปทำทานกันดูนะจ๊ะ



เครื่องปรุง

1. ไข่ไก่(เบอร์ 1) 3 ฟอง
2. น้ำเปล่า
3. ปูอัด 3-4 แท่ง(หั่นแทยง)
4. แครอทหั่นลูกเต๋าเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ
หั่นแท่งเล็กน้อย

5. ต้นหอมซอย เล็กน้อย
6. ซิอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
7. ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
8. น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ

1. ใส่น้ำในลังถึง จากนั้นนำลังถึงตั้งไฟ ระหว่างรอน้ำเดือด ตอกไข่ใส่ชาม ใช้ซ่อมตีไข่ให้ไข่แดงและไข่ขาวเข้ากัน ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และน้ำปลา จากนั้นค่อยๆ เติมน้ำเปล่าลงไป คนให้เข้ากัน ใส่ปูอัดและแครอท ที่หั่นเตรียมไว้ส่วนหนึ่งลงในชาม แบ่งไว้ส่วนหนึ่ง เอาไว้แต่งหน้า จากภาพจะเห็นแครอทลอยอยู่บนไข่ ส่วนปูอัดจะจมอยู่ด้านล่างค่ะ

2. พอน้ำเดือด นำชามไข่ที่เตรียมไว้ ใส่ในลังถึงปิดฝา ใช้ไฟปานกลาง นึ่งประมาณ 20 นาที เมื่อไข่สุกจะได้ไข่ตุ๋นหน้าตาประมาณในภาพ ถึงขั้นตอนนี้อาจจะยังไม่ต้องให้ไข่สุก ทั้ง 100 % ก็ได้ค่ะ เพราะเดี๋ยวต้องแต่งหน้าแล้วนึ่งต่ออีก เอาเป็นว่าให้เกือบสุกก็แล้วกัน

เวลาที่ใช้ในการนึ่งจะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับไข่ว่าเป็นไข่ที่ออกจากตู้เย็นหรือเปล่า และไฟที่ใช้บางทีอาจจะไม่เท่ากัน แต่ที่สำคัญ เวลาใส่ชามไข่ในลังถึง ต้องรอให้น้ำเดือดก่อนค่ะ


3. แต่งหน้าไข่ตุ๋นด้วย ปูอัด โรยแครอทแบบแท่ง ต้นหอมหั่นฝอย จากนั้นปิดฝาลังถึง นึ่งต่อประมาณ 2-3 นาที ให้ปูอัดและผักสุก ยกเสิร์พ ทานร้อนๆ อร่อยมากขอบอก

วิธีทดสอบว่าไข่สุกแล้วหรือยัง ให้ใช้ช้อนหรือซ่อมแทงลงไปที่เนื้อไข่ จิ้มลงไปเบาๆ ก็พอนะคะ ไม่ใช่กวนไข่ ถ้าไข่สุกเนื้อไข่จะเกาะกันดี หากเป็นน้ำสีไข่ดิบไหลขึ้นมา ก็แสดงว่าอาจจะยังสุกไม่ทั่วดี ปิดฝานึ่งต่ออีกหน่อยค่ะ